บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)

บริษัทไม่เคยย่อท้อ ต่อความท้าทาย แต่เรามองหาวิธี ที่จะเปลี่ยนความท้าทาย เหล่านี้เป็นโอกาส

เรียน ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสีย

หลังจากช่วงเวลาหลายปีของความไม่แน่นอนจาก ผลกระทบจากการระบาตของโรคโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ ไต้ผ่านพ้นไป เมฆครึ้มได้จางหายไปจากหลากหลาย ธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจท่องเที่ยวและ การบริการ และเป็นช่วงเวลาของการเติบโตอีกครั้ง ภายหลังจากที่มาตรการการปิดพรมแดนระหว่าง ประเทศไต้ผ่อนคลายลง ส่งผลให้ความต้องการ ในการเดินทางเพื่อการพักผ่อนและการเดินทางเพื่อธุรกิจ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ใช้ช่วงเวลานี้เพื่อยกระตับฐานการดำเนินงานและ เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน ส่งผล ให้ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลกลายเป็นองค์กรที่มี ความแข็งแกร่งและมีความคล่องตัวเพื่อพร้อม ที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ทั้งนี้ บริษัทไม่เพียง แต่จะก้าวข้ามผ่านผลการดำเนินงานที่บริษัทได้เคย ทำไว้ในช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 เท่านั้น แต่เราสามารถก้าวกระโดดและฟื้นตัวได้เร็วกว่า คู่แข่งของเราอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปข้างหน้า บริษัทจะมุ่งเน้นในการมองหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อที่จะเร่ง การเติบโตและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร

อย่างไรก็ตาม บริษัททราบดีว่าสภาพแวดล้อม การดำเนินงานที่มีการแข่งขันสูงและมีค่าใช้จ่ายที่สูง นั้นเป็นสิ่งที่ถาวร และอาจจะมีเหตุที่ทำให้เกิด การหยุดชะงักของการดำเนินงานเป็นระยะๆ ทีมงาน ของเราจึงปรับเปลี่ยนทัศนคติและมุ่งเน้นไปที่ "วันพรุ่งนี้" เพื่อผลักตันให้ธุรกิจของเราเติบโต ในตลาดหลักทั่วโลกได้ต่อไป

ในปี 2565 ไมเนอร์ โฮเทลส์ได้ร่วมมือกับพันธมิตร ทางธุรกิจเพื่อขยายกลุ่มโรงแรมในเครือ ด้วยการเปิด โรงแรมในทวีปเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และ ลาตินอเมริกาจำนวน 17 แห่ง โดยไมเนอร์ โฮเทลส์ ยังคงคว้าโอกาสในการขยายธุรกิจข้ามภูมิภาคอย่าง ต่อเนื่อง โดยแบรนด์อนันตรา ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัท สร้างขึ้นมาเองถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ประสบ ความสำเร็จเป็นอย่างมากและกลายมาเป็นแบรนด์ ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากขึ้นในทวีปยุโรป ด้วยการรีแบรนด์โรงแรม Anantara Grand Hotel Krasnapolsky Amsterdam และการเปิดตัว โรงแรม Anantara Plaza Nice Hotel ในประเทศ ฝรั่งเศส ส่งผลให้ในปัจจุบันมีโรงแรมภายใต้แบรนต์ อนันตราถึง 7 แห่งในทวีปยุโรป ในขณะเดียวกัน ไมเนอร์ โฮเทลส์ได้เปิดตัวโรงแรมภายใต้แบรนต์ เอ็นเอช, เอ็นเอซ คอลเลคชั่น และทิโวลีในทวีปเอเชีย และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ เอ็นเอซ โฮเทล กรุ๊ป ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน Discovery Loyalty Program รูปแบบใหม่ในปี 2565 ซึ่งจะช่วยให้สามารถ เข้าถึงฐานลูกค้าที่เป็นสมาชิกของแพลตฟอร์มนี้ที่มี จำนวนมากกว่า 21 ล้านคน

นอกเหนือจากความต้องการในบริการทางต้านสปา แล้ว การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมกำลังเป็นที่นิยม เป็นอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยว ไมเนอร์ โฮเทลส์ จึงได้ร่วมมือกับบริษัท กรุงเทพตุสิตเวชการเพื่อเปิดตัว BDMS Wellness Clinic Retreat ที่โรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซต์ กรุงเทพฯ รีสอร์ท เพื่อรองรับการเติบโต อย่างรวดเร็วของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยโรงแรม อนันตรา ริเวอร์ไซด์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและ แวดล้อมไปด้วยพืชสวนเขตร้อนอันเขียวซอุ่ม โรงแรม อนันตรา ริเวอร์ไซด์จึงสามารถมอบความสงบ เป็นส่วนตัว ควบคู่ไปกับการบริการทางต้านการตูแล สุขภาพเชิงป้องกัน การดูแลต้านความงาม รวมไปถึง การตรวจสุขภาพแบบครบครัน

ณ สิ้นปี 2565 ไมเนอร์ ฟู้ดมีจำนวนสาขาร้านอาหาร ทั้งสิ้น 2,531 สาขา ซึ่งเพิ่มขึ้น 142สาขาจากปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารภายใต้แบรนด์สเวนเช่นส์, บอนซอน และคอฟฟี่ เจอนี่ในประเทศไทย และแบรนด์ ริเวอร์ไซต์ในประเทศจีน โดยไมเนอร์ ฟู้ตให้ความสำคัญ กับการสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์และทำให้ แบรนต์เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ควบคู่ไปกับ การขยายสาขาโดยใช้นวัตกรรมใหม่ๆ ยกตัวอย่าง เช่น เบอร์เกอร์ คิงได้เปิดตัวแฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ ล่าสุดในจังหวัดกรุงเทพฯ แสตงให้เห็นถึงการออกแบบ ที่ทันสมัยและการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาปรับใช้ในครัว ซึ่งถือเป็นสาขาแรกในทวีปเอเชียที่นำเสนอเตาย่างเนื้อ ที่มีเปลวไฟอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมด้วยตู้เก็บความร้อน เพื่อควบคุมคุณภาพของบริการการจัดส่งอาหารให้ดี ยิ่งขึ้น ในขณะที่สเวนเซ่นส์ได้เปิดตัวแฟล็กชิปสโตร์ ในต่างจังหวัดที่มีการออกแบบอย่างสวยงามโดยเน้น สถาปัตยกรรมแบบท้องถิ่น ซึ่งสาขาเหล่านี้ได้รับ ความนิยมเป็นอย่างมากและช่วยให้แบรนด์ เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น นอกจากนี้ แดรี่ ควีนได้เปิดตัวป๊อปอัพสโตร์ในประเทศไทย ด้วยแนวคิดที่น่าตื่นเต้นกว่าร้านแดรี่ ควีนแบบตั้งเดิม

โดยป๊อปอัพสโตร์ดังกล่าวมีการออกแบบที่เน้น ความสนุกสนาน มีที่นั่งภายในร้าน และมีการสร้างสรรค์ เมนูที่นำตื่นตาตื่นใจใหม่ๆ ที่เหมาะแก่การนำไปลง ในสื้อโซเชียล เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ให้กับลูกค้า ทั้งนี้ นอกจากการขยายสาขาร้านอาหารแล้ว ไมเนอร์ ฟู้ตไต้ประกาศร่วมทุนในสัดส่วนร้อยละ 50.1 ใน GAGA (Attitude In A Cup) ซึ่งดำเนินธุรกิจ ค้าปลีกเครื่องดื่ม โดยการลงทุนในครั้งนี้ถือเป็น การเข้าซื้อกิจการครั้งแรกของไมเนอร์ ฟู้ดภายหลัง จากสถานการณ์กรระบาตของโรคโควิต-19 อีกทั้ง บริษัทได้เล็งเห็นโอกาสที่จะขยายธุรกิจและผลักดัน การเติบโตของกาก้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังเพิ่มสัตส่วนการถือหุ้นในเครือ ร้านอาหารระตับบนที่มีชื่อเสียงในประเทศ สหราชอาณาจักรจากร้อยละ 74 เป็นร้อยละ 100 ซึ่ง ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเติบโตในระยะยาว ของเดอะ วูส์ลีย์ กรุ๊ป

ปี 2565 ยังเป็นปีที่บริษัทได้เริ่มกลับมาตำเนินงาน เพื่อวางแผนกลยุทธ์ระยะยาวอีกครั้ง และบริษัทได้มี การปรับแผนกลยุทธ์ตังกล่าวให้สั้นลงโดยครอบคลุม ระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2565- 2568 ซึ่งจะช่วยให้ บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายทางกลยุทธ์ และทางการเงินต่อไป เมื่อมองไปในอนาคต กลุ่มแบรนด์ที่แข็งแกร่งและ สินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงของบริษัทจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลไต้ในระยะยาว และช่วยให้บริษัทสามารถขยายแบรนต์ข้ามภูมิภาค ได้ต่อไป นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถเข้าถึงกลุ่ม แรงงานที่มีคุณภาพระดับสากลและขยายเครือข่าย ของพันธมิตรทางธุรกิจได้ทั้งในประเทศที่บริษัท มีการดำเนินงานอยู่เดิมและประเทศใหม่ๆ เพิ่มเติม อีกทั้งบริษัทได้พิจารณาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในตลาดหลายแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย ทั้งนี้ ไมเนอร์ อินเตอร์นชั่นแนลให้ความสำคัญกับการเสริมสร้าง ความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินเป็นอย่างมาก ผ่านการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และ เร่งซำระคืนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย นอกจากผลการตำเนินงานทางด้านการเงินแล้ว บริษัทให้ความสำคัญกับการดำเนินงานเพื่อ ความยั่งยืน ทั้งทางต้านสิ่งแวดล้อม, สังคม และ ธรรมาภิบาล เรามีความภูมิใจที่จะแจ้งว่าบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้าน มาตรฐานต้านความยั่งยืนและมีความพร้อมสำหรับ การเติ๊บโต โตยในปีนี้บริษัทได้รับรางวัล Highly Commended Sustainability Award ประจำปี 2565 สำหรับกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าตามราคา ตลาดมากกว่า 100,000 ล้านบาท และได้รับ คะแนนด้านการทำกับดูแลกิจการในระดับ "ดีเยี่ยม" (5 ดาว) จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการ บริษัทไทย (IOD) ต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 10 นอกจากนี้ บริษัทยังคงได้รับคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิกของดัชนี Dow Jones Sustainability Emerging Markets Index, FTSE4Good Index, MSCI ESG Leaders Index และหุ้นยั่งยืน ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย

ผมใคร่ขอขอบคุณผู้มีส่วนได้เสียของเราที่ให้ การสนับสนุนและไว้วางใจในบริษัทมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาของการแพร่ ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ ผมขอขอบคุณ ทีมผู้บริหารและพนักงานทุกคนสำหรับความทุ่มเท และความอดทนในการผลักตันผลการตำเนินงาน ที่แข็งแกร่งในปี 2565 ผมภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่จะแจ้งว่า เราได้ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาอันท้าทายนี้ได้เร็วกว่า คู่แข่งส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทั้งนี้ ผมตั้งตารอ การกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งของบริษัท ในปี 2566 และมั่นใจว่าปี 2566 จะเป็นปีน่าตื่นเต้น อีกปีหนึ่ง

วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค

ประธานกรรมการ

มีนาคม 2566