บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)

MINT รายงานผลกำไรสุทธิสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2557 เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในอัตราร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีก่อน

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) มีกำไรสุทธิในปี 2557 จำนวน 4,402 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากกำไรสุทธิในปี 2556 จำนวน 4,101 ล้านบาท จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของทั้งสามธุรกิจ ทั้งนี้ ด้วยกลยุทธ์การขยายธุรกิจไปในต่างประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ส่งผลให้ MINT มีรายได้และผลกำไรที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังเป็นการกระจายธุรกิจออกไปในหลายประเทศ ซึ่งช่วยให้ MINT สามารถเผชิญกับสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ท้ายทายภายในประเทศได้ จนสามารถแสดงผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้อีกครั้งในปี 2557 ด้วยผลประกอบการที่แข็งแกร่งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทจึงมีมติเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการในปี 2557 ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท และจ่ายหุ้นปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราส่วน 10 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ซึ่งบริษัทจะเสนอการจ่ายเงินปันผลต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติในวันที่ 3 เมษายน 2558 ต่อไป

ในปี 2557 MINT ได้มีการลงทุนเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ MINT มีฐานกำไรที่หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งยังเสริมให้ MINT มีรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งพร้อมที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต

  • สำหรับธุรกิจโรงแรมในปี 2557 MINT ได้เข้าลงทุนในโรงแรมและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรมรวมสี่แห่งในประเทศโมซัมบิก (ส่งผลให้ MINT มีโรงแรมที่ร่วมลงทุนในประเทศโมซัมบิกทั้งหมด 5 แห่ง) อีกทั้งยังเข้าซื้อหุ้นอย่างมีนัยสำคัญจากบริษัท Sun International ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งโจฮันเนสเบิร์ก โดยประกอบด้วยกลุ่มโรงแรมจำนวนหกแห่ง ในประเทศบอตสวานา เลโซโท นามิเบีย และแซมเบีย นอกจากนี้ ในปี 2558 MINT ประกาศขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ในทวีปยุโรปและอเมริกาใต้ ด้วยการเข้าซื้อโรงแรมสี่แห่งในประเทศโปรตุเกส และโรงแรมสองแห่งในประเทศบราซิล ซึ่งดำเนินงานภายใต้ แบรนด์ทิโวลี (Tivoli) ยิ่งไปกว่านั้นเอเลวาน่า ซึ่งเป็นพันธมิตรของ MINT ได้เข้าซื้อโรงแรม เซเรนเกติ ไพโอเนียร์ แคมป์ ในประเทศแทนซาเนีย เพิ่มอีกหนึ่งแห่ง
  • สำหรับธุรกิจร้านอาหารในปี 2557 MINT และกลุ่มบริษัท BreadTalk ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ ได้ตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ บริษัท บีทีเอ็ม (ไทยแลนด์) เพื่อดำเนินธุรกิจเบเกอรี่ภายใต้แบรนด์เบร็ดทอล์คในประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทไมเนอร์ ดีเคแอล ฟู้ด กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทร่วมของ MINT ในประเทศออสเตรเลีย ได้เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท VGC Food Group ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเมลเบิร์น และเป็นเจ้าของและผู้บริหารร้านกาแฟและร้านอาหาร 3 แบรนด์ ได้แก่ Veneziano Coffee Roasters, The Groove Train และ Coffee Hit อีกทั้ง MINT เข้าร่วมมือกับบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เพื่อเปิดสถานบันสอนทำอาหารภายใต้ชื่อ "Thai Cuisine Academy"

ในปี 2557 ทั้งสามธุรกิจของ MINT มีผลกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

  • ในปี 2557 กำไรสุทธิของธุรกิจโรงแรม ซึ่งรวมถึงธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของทั้งกลุ่มโรงแรม โครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลา อนันตรา เวเคชั่น คลับ และโอ๊คส์ ถึงแม้ว่าอัตราการเข้าพักและรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ของโรงแรมในกรุงเทพฯ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5 ของรายได้ทั้งหมดของ MINT จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมืองในปี 2557 แต่ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของโรงแรมในต่างจังหวัดประกอบกับผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างโดดเด่นของโรงแรมในต่างประเทศสามารถชดเชยผลกระทบจากผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงของโรงแรมในกรุงเทพฯได้ทั้งหมด ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของโรงแรมทั้งกลุ่มมีการเติบโตขึ้นในอัตราร้อยละ 3 จากปี 2556 นอกจากนี้ ธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมของ MINT มีรายได้จากการบริหารจัดการเติบโตขึ้นมากกว่าสองเท่าจากปี 2556 อันเป็นผลจากการเปิดโรงแรมใหม่ระหว่างปี ประกอบกับผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรมที่มีอยู่เดิมดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจโครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลา อนันตรา เวเคชั่น คลับ มีรายได้จากการขายที่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมของ MINT มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในปี 2557 ทั้งนี้ โรงแรมในกรุงเทพฯมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมากในช่วงหกเดือนหลังของปี 2557 เมื่อเทียบกับช่วงหกเดือนแรกของปี และคาดว่าจะยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อไปในปี 2558
  • ในปี 2557 ธุรกิจร้านอาหารของ MINT แสดงผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายโดยรวมทุกสาขา (System-wide sales) เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 13.1 ในปี 2557 จากยอดขายต่อร้านเดิม (Same-Store-Sales) ที่เติบโตขึ้นร้อยละ 0.4 และจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น 164 สาขา ความเป็นผู้นำตลาดรวมถึงกลยุทธ์การปรับเปลี่ยนเมนูและการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิผลของบริษัท ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2557 ทั้งที่มีความไม่สงบทางการเมืองและการชะลอตัวลงของการใช้จ่ายของผู้บริโภค สำหรับแนวโน้มในอนาคต การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอันเป็นผลจากนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งรวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน น่าจะช่วยส่งผลให้ทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการบริโภคภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องและกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่งของทุกธุรกิจในต่างประเทศ จะช่วยให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจร้านอาหารของ MINT ยังคงปรับตัวดีขึ้นในระยะสั้น
  • ในปี 2557 กำไรสุทธิของธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าและรับจ้างผลิตสินค้าของ MINT เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจแฟชั่น ทั้งนี้ ท่ามกลางสภาวะการดำเนินธุรกิจที่ท้าทายในปี 2557 (ทั้งจากความไม่สงบทางการเมืองและการชะลอตัวของการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในประเทศ) ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าของ MINT ได้มีการใช้กลยุทธ์การควบคุมต้นทุนต่างๆ พร้อมกับการขยายจุดจำหน่ายสินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับโอกาสการเติบโตในระยะยาวเมื่อสภาวะการดำเนินธุรกิจกลับสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ ความพยายามในการควบคุมต้นทุนดังกล่าว ช่วยให้ธุรกิจมีความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้น และจะส่งผลให้มีกำไรที่เติบโตขึ้นและอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นไปด้วย

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจระดับสากล โดยประกอบ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น (รวมถึงธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า) MINT เป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 1,700 สาขา ในมากกว่า 20 ประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน, เบอร์เกอร์ คิง, ไทยเอ็กซ์เพรส, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริบส์ แอนด์ รัมส์, เบร็ดทอล์ค และริเวอร์ไซด์ อีกทั้งยังเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจโรงแรมทั้งในรูปแบบเป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุน โดยมีโรงแรมทั้งสิ้น 126 โรงแรม ภายใต้เครื่องหมายการค้า อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, เปอร์ อควัม, ทิโวลี, เอเลวาน่า, แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, เรดิสัน บลู และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ใน 21 ประเทศในเอเชียแปซิฟิค ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป และอเมริกาใต้ นอกจากนี้ MINT ยังเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศ ทั้งเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า โดยมีโรงงานเป็นของตัวเอง เครื่องหมายการค้าที่ MINT เป็นผู้จัดจำหน่ายได้แก่ แก๊ป, เอสปรี, บอสสินี่, ชาร์ล แอนด์ คีธ, เพโดร, เรดเอิร์ธ, ทูมี่, สวิลลิ่ง เจ.เอ. เฮ็งเคิลส์, อีทีแอล เลิร์นนิ่ง และ มายเซลล์ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minorinternational.com

PERFORMANCE (Bt m)

 

 4Q14

 4Q13

 % Change

2014

2013

 % Change

 Total Revenues

    10,615

    10,094

5%

        39,787

      36,936

8%

 Cost of Sales

      3,500

      3,469

1%

        13,689

      13,189

4%

 Selling & Administrative

      4,342

      3,927

11%

        17,249

      15,443

12%

 EBITDA

      2,773

      2,699

3%

          8,849

        8,304

7%

 Depreciation & Amort.

          748

          656

14%

          2,805

        2,420

16%

 EBIT

      2,025

      2,043

-1%

          6,044

        5,884

3%

 Interest Expenses

          287

          242

18%

          1,145

        1,027

11%

 Earnings Before Tax

      1,739

      1,801

-3%

          4,899

        4,857

1%

 Corporate Tax

            98

          216

-55%

             397

            675

-41%

 Minority Interest

            22

            28

-23%

             100

              80

24%

 Net Profit as Reported

      1,619

      1,556

4%

          4,402

        4,101

7%

 Fully Diluted EPS as Reported (Bt)

    0.4045

    0.3889

4%

        1.1000

      1.0249

7%

 Fully Diluted Shares (mn)

      4,002

      4,002

0%

          4,002

        4,002

0%